จากอดีตมาถึงวันนี้ สังเกตได้ว่าเทคโนโลยีทำให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว ในแง่ของอุตสาหกรรมยานยนต์เอง เราก็น่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับยานยนต์พลังงานไฟฟ้ากันมานาน จากที่เคยเชื่อว่า รถ EV เป็นอะไรที่คนทั่วไปเอื้อมไม่ถึง ณ ตอนนี้อาจไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว
Electric Vehicle หรือ EV คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่นอกจากจะมีคุณสมบัติลดกลไกการทำงานให้กับผู้ขับขี่แล้วก็ยังดีต่อโลกอีกด้วย นั่นจึงทำให้ความนิยมของ EV เริ่มตีตลาดทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งประเทศไทยเอง จากเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ก็พบว่ามี EV จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 5,363 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วมากถึง 35.81%
อย่างไรก็ตาม ด้วยโลกที่หมุนเร็วเกินไป ก็อาจจะทำให้คนทั่วไปยังคงติดภาพ EV แบบเดิมๆ เราก็เลยอยากชวนทุกคนมารู้จัก EV ที่หลายคนอาจไม่รู้และเข้าใจผิด เพื่อตอบรับเทรนด์ยานยนต์ในอนาคตนี้กันสักหน่อย
แนวโน้มตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
เอาเข้าจริงแล้ว รถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเดิมที EV ได้คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1980 แล้ว แต่ก็อย่างที่รู้กัน ด้วยยุคสมัยที่เทคโนโลยียังไม่เอื้อเท่าไรนัก ทำให้สมรรถนะในการขับเคลื่อนยังไม่เหมาะที่จะใช้ในชีวิตจริง อีกทั้งยังมีราคาแพงจนไม่สามารถจับต้องได้ในกลุ่มคนทั่วไป
แต่มาในยุคนี้ เหตุผลความไม่ทันสมัยของเทคโนโลยีคงต้องปัดตกไป ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทำให้แบตเตอรี่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น และที่สำคัญ คือมีต้นทุนการผลิตที่ถูกลงอย่างมาก แน่นอนว่านี่ก็จะส่งผลให้ราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าถูกลงตามไปด้วย
แนวโน้มตลาด EV ทั่วโลกและในประเทศไทยจึงเป็นที่น่าจับตามอง โดยเคยมีการคาดการณ์ไว้เหมือนกันว่า ภายในปี 2025 ราคา EV จะถูกลงเทียบเท่ากับยานยนต์เติมน้ำมัน แถมด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอีก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็น่าจะทำให้ เทรนด์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า อาจจะพลิกประวัติศาสตร์ไปเลยก็ว่าได้
เรื่องที่เรามักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ EV
แม้ EV จะพัฒนาจนกำลังจะกลายเป็นเทรนด์หลักสำหรับผู้ขับขี่ แต่ด้วยภาพจำเดิมๆ ที่สั่งสมมานาน ก็อาจทำให้เรามีหลายๆ เรื่องที่เข้าใจผิด ทีนี้ เราลองไปดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ EV ที่เรามักเข้าใจผิดกันดีกว่า
1.EV มีราคาแพง!
ประเด็นยอดฮิตที่เป็นกำแพงสูงสำหรับใครหลายๆ คน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะด้วยราคาแบตเตอรี่ ที่ทำให้มีราคาคิดเป็นต้นทุนที่สูงกว่ายานยนต์ทั่วไป แต่ราคา EV ในปัจจุบันลดลงอย่างมาก จากการแข่งขันในตลาดและจำนวนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2.ใช้เดินทางระยะไกลไม่ได้
พูดถึงแบตเตอรี่ พลังงานไฟฟ้า ก็มักทำให้เรานึกถึงการชาร์จไฟฟ้าที่ต้องหมั่นชาร์จอยู่เสมอๆ ภาพจำของ EV เอง เลยกลายเป็นรถที่วิ่งได้ในระยะทางสั้นๆ ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ๆ จนทำให้ EV ใช้งานในระยะทางที่ยาวขึ้นแล้ว แถมยังใช้เวลาชาร์จพลังที่สั้นลงกว่าเดิมมาก
3.มีความเสี่ยงมากว่ารถยนต์ทั่วไป
หลายคนอาจเข้าใจว่า หากเราขับขี่ EV ช่วงฝนตกจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือหากใช้งานแบตเตอรี่แล้วมีความร้อนสูงเกิน อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งในความเป็นจริงคือ EV มีระบบ Safety หลายชั้นที่ป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร
4.ดูแลรักษายาก ค่าใช้จ่ายเยอะ
หากคิดว่า การเปลี่ยนถ่ายแบตเตอรี่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเยอะ อันที่จริง การดูแลรักษา EV มีค่าใช้จ่ายน้อยมาก เมื่อเทียบกับการดูแลรักษารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากชิ้นส่วนของ EV มีค่อนข้างน้อย อีกทั้งต้นทุนของแบตเตอรี่ที่ลดลง ทำให้การเปลี่ยนแบตเตอรี่มีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งแผง แต่เปลี่ยนแค่เซลล์ก็เพียงพอแล้ว
5.อายุการใช้งานสั้น ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถ EV เสื่อมช้ากว่าที่เราคิดมาก โดยปัจจุบัน แบตเตอรี่ส่วนใหญ่ มีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 8-10 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานอย่างถูกต้อง ซึ่งถ้าหากรักษาระดับพลังงานให้อยู่ที่ 20-80% ได้อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น
เหตุใด EV จึงเป็นคำตอบของยานยนต์ในปัจจุบัน
หนึ่งในสิ่งที่ผู้ขับขี่ทั่วไปเอื้อมไม่ถึงเกี่ยวกับรถยนต์ คือประสบการณ์ในการขับขี่ที่มีความสนุก ลื่นไหล สะดวกสบาย จากฟังก์ชันต่างๆ ที่เรามักเจอในรถยนต์ราคาสูงหรือ Supercar ซึ่งแม้ EV จะมีสมรรถนะไม่เทียบเท่า แต่ EV ก็ยังสามารถมอบประสบการณ์ ความสนุกสนานในการขับขี่ ด้วยอัตราเร่งที่รวดเร็ว มีแรงบิดสูง และจุดศูนย์ถ่วงต่ำได้
ด้วยเหตุนี้เอง EV จึงได้ทลายกำแพงการเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ๆ ในการขับขี่ ที่เข้าถึงได้ทุกคน แถมยังมาในราคาประหยัดกว่า Supercar หลายเท่า นั่นจึงทำให้มันยังตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ โดยที่การออกแบบฟังก์ชันต่างๆ ก็ยังคงใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ได้มีไว้เพียงเป็นฟีเจอร์ประดับเพื่อความหรูหรา
แต่ที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของสิ่งแวดล้อม แม้ว่าการผลิตไฟฟ้านั้นจะยังมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ EV จะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 397 กรัม โดยหากเทียบการปล่อยก๊าซเฉลี่ยกรัมต่อกิโลเมตร EV จะลดการปล่อยคาร์บอนประมาณ 40% ต่อกิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่ารถยนต์สันดาปที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบ 100%
การใช้ EV ที่นอกจากจะช่วยลด PM2.5 และปัญหาสุขภาพอื่นๆ แล้ว ด้วยราคาที่จับต้องได้ โดยมาพร้อมกับสมรรถนะที่ดีกว่า ทำให้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอาจไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ขับขี่ในอนาคต
สถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับ EV
แม้เทรนด์ EV จะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ถ้าหากไม่มีสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าที่เพียงพอ ต่อความต้องการของผู้ใช้ ก็อาจกลายเป็นปัญหาสำคัญ หลากหลายประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องมีสถานีชาร์จไฟฟ้า เพื่อตอบรับจำนวนผู้ใช้ EV ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ในประเทศไทย ก็ได้มีการเข้ามาลงทุนในกลุ่มธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่เข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดอย่างเต็มตัว ด้วยความร่วมมือของกลุ่มธุรกิจพลังงาน ซึ่งทาง PTT เองก็ได้จัดตั้ง ARUN PLUS สำหรับดำเนินธุรกิจในด้าน EV Value Chain เพื่อตอบรับเทรนด์นี้ด้วยเช่นกัน
EV Value Chain บริการยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
จากแนวโน้มของเทรนด์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เข้ามา ทำให้มีความจำเป็นและเกิดไอเดียการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าขึ้น ‘EV Value Chain’ หรือการให้บริการเพื่อรองรับการขยายฐานธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า อาทิ การพัฒนาภาคการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ขยายเครือข่ายสถานีเครื่องอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ด้วยรูปแบบการให้บริการที่ครบวงจรแบบนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ผู้ขับขี่ EV ในอนาคตได้อย่างมากเลยทีเดียว
พอพูดถึงการขับขี่ ในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีใครที่โลดแล่นบนท้องถนนได้เท่ากับพี่ๆ ไรเดอร์ ที่คอยให้บริการพวกเรา และได้กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความสำคัญมากๆ ในยุคนี้ PTT ที่นอกจากจะขับเคลื่อนธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า โดยการจัดตั้ง ARUN PLUS แล้วก็ยังสร้างธุรกิจให้บริการสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องรอชาร์จในชื่อ ‘Swap & Go’ เพื่อให้โลกปลอดมลพิษ เพิ่มความสะดวกสบายแก่กลุ่มไรเดอร์และผู้ใช้งานจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยนั่นเอง
นอกจากนี้ PTT ยังได้จัดตั้ง EVME PLUS เพื่อดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ผ่านการให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่ทำให้เข้าถึงกับทุกคนที่ใช้งาน EV และผู้ที่ต้องการใช้บริการหรือปรึกษาเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับ EV เพื่อหาข้อมูลหรือทดลองขับก่อนซื้อผ่านแอปฯ ‘EVme’ เพียงแอปฯ เดียว ซึ่งถือเป็นอะไรที่สะดวกสบาย และตอบโจทย์ความเป็นไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม
จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนผ่านจากการสันดาปสู่พลังงานไฟฟ้าครั้งนี้ ไม่ได้มีผลแบบปัจเจกบุคคลอีกต่อไป การพัฒนาที่ก้าวกระโดดของ EV เพื่อสอดรับกับสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น แถมคนทั่วไปยังเข้าถึงได้ง่ายกว่าแต่ก่อน ก่อเกิดเป็นเทรนด์ที่ Win-Win ทั้งตนเองและสิ่งรอบตัว นี่จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ PTT จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่กำลังส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลกแบบนี้
Sources: