โดยปกติแล้ว เป้าหมายของการทำธุรกิจก็คือการมองผลลัพธ์ เป้าหมาย และผลประกอบการรวมถึงกำไรเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากไม่มีกระแสเงินสดที่ไหลเวียนในระบบอย่างสม่ำเสมอ workflow ในการดำเนินธุรกิจก็คงไม่สามารถไปต่อได้ แต่ปัจจุบัน ตัวเลขและการจัดการความเสี่ยงของธุรกิจอาจไม่ใช่สองประเด็นหลักของคนทำธุรกิจอีกต่อไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงส่วนรวม สังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เทรนด์การทำธุรกิจในช่วงนี้ที่ถูกพูดถึงเพื่อการยืนระยะของธุรกิจในยุคใหม่ได้คือ แนวคิด ‘ESG’
ESG มาจากคำว่า Environmental, Social and Governance เป็นสามปัจจัยที่นำมาชี้วัดการดำเนินธุรกิจระยะยาวของบริษัท จากเดิม ที่ธุรกิจมีฐานคิดว่าด้วยผลประกอบการ กำไร-ขาดทุนเพียวๆ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ที่มีเจเนอเรชันมิลเลนเนียล และเจนแซด ที่คำนึงเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ผู้บริโภคไม่ได้มองแค่สินค้าหรือโปรดักต์เพียงปัจจัยเดียว แต่ยังคำนึงถึงจุดยืนของแบรนด์ที่มีต่อกระแสสังคม และความเห็นอกเห็นใจทั้งกับเพื่อนมนุษย์ พนักงาน รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่คนทำธุรกิจเองก็ตักตวงและใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ไปมาก
ตัวอย่างที่อาจจะทำให้เห็นภาพชัดมากขึ้นก็อย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้าฟาสต์ แฟชัน ที่หากพูดเรื่องนี้สัก 10 ปีที่แล้ว หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่า ข้อเสียของธุรกิจเสื้อผ้ามีผลเสียต่อโลกอย่างไร ซึ่งเมื่อพูดถึงสิ่งแวดล้อมหรือโลกร้อนก็ยังดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นและสัมผัสกันได้ในทุกๆ วัน แต่ปัจจุบันผลจากอุตสาหกรรมและธุรกิจดังกล่าวเริ่มขยายขอบเขตความเสียหายให้เห็นเรื่อยๆ ทั้งมุมของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนข้อกังวลในส่วนของแรงงานที่ถูกตั้งคำถามถึงมนุษยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม มีการเรียกร้องให้แบรนด์ออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้น
การที่ธุรกิจจะไปถึงจุดที่ดำเนินธุรกิจด้วย ‘ESG’ ได้ ข้อสำคัญอีกประการก็คือ ตัวอักษรตัวสุดท้ายนั่นคือ G – Governance หรือการมีบรรษัทภิบาล ปกติเรามักคุ้นชินกับคำว่า ‘ธรรมาภิบาล’ มากกว่าซึ่งจะเป็นวิสัยทัศน์ฝั่งภาครัฐ ซึ่งบรรษัทภิบาลก็มีความคล้ายคลึงกันเพียงแต่ถูกสเกลลงมาเป็นตัวบริษัท คือให้การบริหารภายในมีกลไกลที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย มีสวัสดิการที่ดีรองรับคนทำงาน เคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งจะส่งเสริมให้ทั้งองค์กรและตัวพนักงานเติบโตไปพร้อมๆ กันภายใต้บรรยากาศที่เฮลตี้มากขึ้น
Sources: https://bit.ly/3LeaCH5