“ใกล้สิ้นปีเหมือนใกล้สิ้นใจ ยิ่งใกล้เข้าช่วงหยุดยาวหรือเทศกาลทีไร รู้สึกเหนื่อย เครียด ไม่มีแรงจะทำงานมากขึ้นทุกที บางทีก็อยากเททุกอย่าง ลาออกจากการเป็นตัวเองไปเลย”
อันที่จริง ปัญหานี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และเกิดกับเราคนเดียวเท่านั้น เพราะช่วงใกล้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มักเป็นช่วงที่โปรเจกต์หรืองานต่างๆ ถาโถมเข้ามา ซึ่งพอผสมโรงกับความเหนื่อยที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงต้นปี จึงไม่แปลกหากหลายๆ คนจะโดน ‘End of year burnout’ เล่นงานเข้าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
เฮอร์แมนน์ ลีเบนเบิร์ก (Hermann Liebenberg) นักจิตวิทยาในเซนจูเรียน (Centurion) ให้ข้อมูลว่า ภาวะดังกล่าวมีอยู่จริง และเป็นเรื่องปกติ มักเป็นอาการอ่อนเพลียที่พบมากในช่วงพฤศจิกายน และธันวาคม
อแมนด้า กอร์ดอน (Amanda Gordon) รองศาสตราจารย์และผู้อำนวยการ Armchair Psychology อธิบายว่า “แม้คนที่เผชิญกับภาวะนี้จะรู้ว่า ช่วงพักหรือวันหยุดกำลังจะใกล้เข้ามา แต่ก็มีความกดดัน และหน้าที่มากมายที่รออยู่ พวกเขาต้องทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนสิ้นปี และนั่นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าจะถึงวันหยุดจริงๆ”
เธอแนะนำวิธีจัดการกับ End of year burnout ว่า ให้กินให้อิ่ม นอนให้เยอะ ออกกำลังกาย ใช้เวลากับคนที่รัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือครอบครัว หยุดพักระหว่างวันทำงานเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ดื่มเครื่องดื่มที่ปราศจากคาเฟอีน และถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจบวันในเวลาที่เหมาะสม
มันต้องใช้เวลาสักระยะ เราจะไม่รู้สึกดีขึ้นใน 1 วัน แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อกลับบ้านแล้วหรืออยู่ในช่วงวันหยุด ให้ปิดแจ้งเตือนอีเมลด้วย เช็กแค่การโทร โซเชียล และอีเมลส่วนตัวเท่านั้น หรืออีกเคสคือ ถ้าเลือกลาแล้วก็ควรลาจริงๆ ไม่ใช่ลาทิพย์แล้วนั่งทำงานที่บ้านต่อ เอาเวลาไปพักให้เต็มที่เพื่อที่จะได้กลับมาทำงานอย่างสดชื่น
ให้ตระหนักว่างานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งชีวิตของเรา เวลาที่ทำอะไรสักอย่างเสร็จ ให้ตบหลังตัวเอง และต้องแน่ใจว่า เราหยุดหายใจจากงานจริงๆ ลองตั้งเป้าหมายแต่ละวันอย่างเหมาะสมแล้วค่อยๆ ขีดฆ่าเมื่อทำสำเร็จ
นอกจากนี้ อแมนด้า ยังเสริมด้วยว่า End of year burnout เกิดได้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังพยายามไต่เต้าไปยังตำแหน่งสูงๆ รวมถึงคนที่มีลูก หรืออยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีความเครียดสูงด้วย
แม้เราจะอยากลาออกการเป็นตัวเอง อยากเททุกอย่างมากแค่ไหน แต่ถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดี เอาเป็นว่า รัก และใจดีกับตัวเองให้มากๆ การไม่เก่งสักวันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่เนอะ 🙂
Sources: https://bit.ly/3EqkOeG