“Design anything. Publish anywhere.” ออกแบบอะไรก็ได้ เผยแพร่ได้ทุกที่ คือหนึ่งในภารกิจสำคัญของตัวช่วยกราฟิกสามัญประจำโซเชียลอย่างแคนวา (Canva) ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 20 ล้านคน ใน 190 ประเทศทั่วโลก และเป็นยูนิคอร์นสตาร์ตอัปที่มีมูลค่ามากที่สุดติดอันดับ 5 ของโลก
จุดเริ่มต้นที่มาจากปัญหา Pain Point ของผู้ใช้งานสู่การเขย่าขาเก้าอี้โปรแกรมออกแบบระดับตำนานอย่างอะโดบี (Adobe) และทำให้กราฟิกไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับทุกคนอีกต่อไป! ตัวช่วยที่ทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างมากในวงการการศึกษาจนถึงขั้นมีคนอวยยศให้กับเมลานี เพอร์กินส์ (Melanie Perkins) ผู้ก่อตั้งว่า ‘เป็นผู้มีพระคุณคนสำคัญที่ทำให้เรียนจบได้’ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ : https://www.facebook.com/futuretrends.th/posts/1306548366378272)
แล้วอะไรคือเคล็ดลับการตลาดที่ทำให้ตัวช่วยกราฟิกสามัญประจำโซเชียลนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด วันนี้ Future Trends จะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
ถ้าใครเคยเข้าไปใช้จะรู้ว่า แพลตฟอร์มตัวช่วยกราฟิกนี้มีการให้บริการฟรีตลอดอายุการใช้งาน (แต่จำกัดให้ใช้เฉพาะฟีเจอร์พื้นฐาน) ส่วนหนึ่งของโมเดลธุรกิจมาแรงที่เรียกว่า “Freemium” ที่ตั้งอยู่บนแนวคิด ‘ให้’ ก่อน ‘รับ’ หรือการตลาดแบบลองฟรีก่อน ถ้าติดใจค่อยจ่ายทีหลัง
การถือคติที่ว่า ‘ยิ่งให้ ยิ่งได้’ เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ทิ่มแทงตัวเองไปในตัว หากมองในแง่ดีถือเป็นการโปรโมตให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ก็สูญเสียเม็ดเงินที่ควรจะได้ไปไม่น้อย เพราะหนึ่งในนั้นก็น่าจะต้องมีผู้ใช้งานที่ขอใช้ฟรีไปตลอด ไม่ยอมเสียเงิน (ฮั่นแน่ คุณเป็นหนึ่งในรึเปล่าคะ? สารภาพมาซะดีๆ )
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับแคนวาแต่อย่างใด เพราะด้วยฟีเจอร์ของการเป็นสมาชิกแบบรายเดือนนั้นมีจุดเด่นเป็นเครื่องมือ และเทมเพลตที่หลากหลายกว่า บวกกับนโยบายการให้ผู้ใช้งานสามารถทดลองใช้แบบสมาชิกได้ฟรี 1 เดือน ซึ่งยิ่งผู้ใช้เข้ามาใช้ฟรีบ่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ติดอกติดใจจนต้องยอมผันตัวมาเป็นผู้ใช้งานแบบเสียเงิน (Paid User) มากขึ้นเท่านั้น
ในปัจจุบัน แคนวามีผู้ใช้งานแบบสมาชิกสูงถึง 500,000 ราย และแน่นอนว่า หนึ่งในทั้งหมดนี้ก็มีองค์กรระดับโลกอย่างซูม (Zoom) และเพย์พาล (PayPal) ที่เข้ามาขอสมัครเป็นเหล่าสาวกด้วย
การรู้จักใช้งานเป็นอย่างดี พัฒนาแพลตฟอร์มให้เข้ามาแก้ปัญหา Pain Point สุดจี๊ดของผู้ใช้งานมือใหม่ ออกแบบ User Interface และฟีเจอร์ที่ไม่ซับซ้อน ทำงานในรูปแบบ Drag-and-Drop เปลี่ยนการทำกราฟิกให้กลายเป็น ‘เรื่องง่าย’ ช่วยยกระดับชีวิตของผู้คนให้ดีกว่าที่เคย ส่งผลให้ทุกวันนี้ผลงานกราฟิกสวยๆ ปรากฏอยู่บนโลกโซเชียลให้เห็นกันมากขึ้น
คนที่ไม่มีทักษะด้านการออกแบบสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากโปรแกรมออกแบบตระกูลอะโดบี ที่ถึงแม้จะทำอะไรได้เยอะกว่า แต่ก็ต้องเสียเวลาในการเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือค่อนข้างนาน ซึ่งในความเป็นจริง เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเครื่องมือ และเสียเวลามากขนาดนั้นเพื่อสร้างผลงานกราฟิกสักชิ้นก็ได้
การนำฟีเจอร์การทำงานร่วมกับเพื่อนเข้ามาสร้างมิติใหม่ให้กับวงการการออกแบบ ทำให้การทำงานของหลายคนเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว โดยภายหลังผู้เก๋าเกมอย่างอะโดบีก็ขอขึ้นขบวน ออกฟีเจอร์ลักษณะนี้ตามมาติดๆ
อีกทั้งทางแคนวาก็ได้มีการจับมือ Collaboration กับธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเฟดเอ็กซ์สหรัฐอเมริกา (FedEx Office US), ซัมซุง (Samsung), เอชพี (HP) และฮับสปอต (Hubspot) ส่งผลให้มีการเติบโตแบบทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น กรณีของเฟดเอ็กซ์สหรัฐอเมริกาที่ให้ผู้ใช้งานสามารถออกแบบงานบนแพลตฟอร์มแล้วส่งไปพิมพ์ที่เฟดเอ็กซ์ จากนั้น จะมีบริการขนส่งมาให้ที่บ้าน ซึ่งเป็นการได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะนอกจากจะได้กำไรแล้ว ยังเป็นการสร้างการรับรู้ (Awareness) ควบคู่กันไป
รวมไปถึงการออกแบบให้อยู่บนเว็บไซต์ เข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจผ่านนโยบายการรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility หรือ CSR) โดยการมอบสิทธ์การใช้งานแบบสมาชิกให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และนักเรียน-นักศึกษาฟรี ทำให้ทุกวันนี้แคนวากลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในฐานะผู้ใหญ่ใจดี ที่ไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรเพียงอย่างเดียวเหมือนเช่นธุรกิจอื่นๆ
การส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอด้วยการทำ Always-on content (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ : https://infographicthailand.com/แค่แคมเปญการตลาดทั่วไป/) การสร้างคอร์สเรียนสอนวิธีใช้งาน การเขียนบล็อกความรู้ให้คำแนะนำ อัปเดตสิ่งใหม่ๆ ผ่านการตลาดแบบอีเมล (Email marketing)
และยังมีการหยิบเอากลยุทธ์สุดคลาสสิกที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยอย่างการตลาดแบบบอกต่อ (Referral marketing) แคมเปญ ‘Refer friends. Get free premium photos.’ ที่เป็นเหมือนการบอกผู้ใช้งานกลายๆ ว่า ถ้าคุณถูกใจบริการนี้ ช่วยบอกต่อเพื่อนหน่อย ถ้าทำ เราก็จะมอบประโยชน์อย่างการให้รูปที่ต้องเสียเงินซื้อกับคุณไปแบบฟรีๆ
โดยจากผลการสำรวจของนีลเส็น (Nielsen) บริษัทชื่อดังด้านการวิจัยการตลาด ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคเลือกจะเชื่อ ‘คนรอบข้าง’ มากกว่าโฆษณาทั่วไปถึง 92 เปอร์เซ็นต์ และความพึงพอใจที่ถูกส่งต่อกันปากต่อปาก (Word of Mouth) ทั้งจากออฟไลน์ (Offline) และออนไลน์ (Online) ในทุกๆ 10 เปอร์เซ็นต์จะช่วยเพิ่มยอดขายขึ้น 0.2 ถึง 1.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกเรื่อยๆ ดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่เข้ามา โดยไม่ต้องลงแรงให้เหนื่อยเลยสักนิด ก่อเกิดเป็นความภักดี (Brand love) และความน่าเชื่อถือ (Brand trust) ในที่สุด
นอกจากนี้ พลังเรื่องเล่าของธุรกิจ (Brand storytelling) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไม้ตายสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลกจดจำ เรื่องราวความสำเร็จที่ถูกตีแผ่บนโลกโซเชียลของเด็กสาวช่างฝันอายุน้อยที่ลงมือทำจนฝันเป็นจริง Pain Point การใช้งานส่วนตัวที่นำมาต่อยอดเป็นธุรกิจดึงดูดให้ผู้ใช้งานหน้าใหม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแพลตฟอร์ม ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจการทำธุรกิจแล้ว ในขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นการโปรโมตธุรกิจไปพร้อมๆ กันอีกด้วย
และด้วยความตั้งใจ การลงมือทำ ความไม่หยุดยั้งในการพัฒนาของผู้สร้าง ทำให้ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมทุกวันนี้แคนวาถึงโดดเด่นในสมรภูมิการขายอันแสนดุเดือด ขึ้นแท่นเป็นผู้มีพระคุณของวงการการศึกษา และครองใจผู้ใช้งานนับล้านตลอดกาล…
Sources: https://bbc.in/3K3xiZ8