ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เป็นเทคโนโลยีที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจในองค์ความรู้ต่างๆ อย่างการให้ความรู้ การวิเคราะห์ข้อมูล รวมไปการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ AI กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ และอาจมากกว่าด้วยอีกด้วย
ความสามารถของ AI
เราอาจจะคุ้นเคยกับการทำงานของ AI ในด้านอุตสาหกรรม วิศวกรรม หรืออาจจะเป็นในด้านการแพทย์ เพราะเป็นการทำงานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง และสามารถเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานของมนุษย์ได้
แต่รู้ไหมว่าวงการของนักสร้างสรรค์ หรือ Content Creator ทั้งหลายก็สามารถนำ AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของชิ้นงานได้ รวมไปถึงเพิ่มศักยภาพในตัวของ Content Creator เองได้ด้วยนะ วันนี้ Future Trends จะไกด์ให้ทุกคนเอง ว่าเราจะสามารถใช้ AI ในแนวทางใดได้บ้าง ไปดูกัน
1. ใช้การสร้างกรอบความคิด (Conceptualization)
แม้ AI จะยังไม่สามารถผลิตชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบและเป็นธรรมชาติได้ แต่อย่างน้อยมันก็สามารถกำหนดทิศทางของชิ้นงานได้เป็นอย่างดี
เพราะตัวของ AI นั้นมีข้อมูลมากมายที่มนุษย์ป้อนเข้าไปในระบบ ดังนั้นมันจึงสามารถดึงส่วนที่มีประโยชน์จากข้อมูลเหล่าเมื่อนำมากำหนดเป็นแนวทางได้ ซึ่งบริษัทบางบริษัทก็ใช้ AI ในการสร้างกรอบความคิดหรือคอนเสปต์ให้กับลูกค้าเบื้องต้น จากนั้นจึงใช้แรงของมนุษย์ในตอนท้ายสำหรับการไฟนอลงาน
ยกตัวอย่างการด้วยการใช้ ChatGPT เพื่อสร้างกรอบความคิดให้กับชิ้นงาน โดยเราจะใช้คำสั่ง ‘I would like to conceptualize _______. Can you provide some insights and suggestions?’ เพื่อให้ AI สามารถกำหนดกรอบความคิดคร่าวๆ ให้กับเราได้
เช่น เมื่อสั่งให้กำหนดกรอบความคิดเกี่ยวกับการสร้างแอปพลิชันในการเรียนภาษา ตัว ChatGPT จะค้นหาและนำเสนอข้อมูลเชิงลึก เพื่อแนะนำสิ่งที่เราควรกำหนดมาให้ อย่าง กลุ่มผู้ใช้ ฟีเจอร์ในการใช้งาน ภาษาที่รองรับ เป็นต้น
2. ใช้ในการสร้างฉบับร่าง (Building a rough draft)
ในหลายๆ กรณี AI นั้นทำได้มากกว่าการกรอบความคิด โดยสามารถสร้างฉบับร่างคร่าวๆ เพื่อส่งต่อให้กับมนุษย์ในการปรับแต่งเนื้อหาให้มีความสละสลวยมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างในอาชีพนักเขียน พวกเขาใช้เวลาไปมากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ในการสร้างฉบับร่างแรก แต่เนื้อหาก็ยังไม่สมบูรณ์และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
แต่หากใช้ AI ช่วยเสริมในการทำงานแล้วล่ะก็ ระยะเวลาในการงานจะลดลงจากความสามารถของมัน ทั้งยังทำให้นักเขียนเดินไปยังขั้นตอนต่อไปได้เร็วขึ้น เพราะ AI สามารถช่วยปรับแต่งและแก้ไขเนื้อหาให้กับฉบับร่างได้อย่างลื่นไหล รวมทั้งสามารถปรับโทนของชิ้นงานได้อีกด้วย
ซึ่งจากการประมาณการพบว่านักเขียนที่ใช้ AI ในการปรับปรุงชิ้นงานสามารถลดเวลาในการผลิตได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ
3. ใช้ในการแก้ไขและเพิ่มประสิทธิภาพ (Editing and optimization)
การใช้งาน AI ที่กำลังได้รับความนิยมคือการใช้ในการแก้ไขและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับชิ้นงาน เช่น การใช้ AI ในการลบคนออกจากภาพ หรือใช้เพื่อจับคู่ภาพให้เหมาะสมกับเนื้อหาของชิ้นงาน เป็นต้น
จากผลสำรวจของ Lightricks เกี่ยวกับ Content Creator 1,000 คนที่ทำแบบสำรวข พบว่า Creator กว่า 53 เปอร์เซ็นต์ใช้ AI ในการปรับแต่งพื้นหลัง และอีก 47 เปอร์เซ็นต์ใช้ในการปรับแต่งวิดีโอ ซึ่งพวกเขาจะใช้ AI ในการปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพที่เหมาะสมให้กับชิ้นงาน ซึ่งค่อนข้างคล่องตัวและใช้เวลาน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
4. ใช้ AI ในการเป็นผู้ช่วย (AI as an assistant)
ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและใช้ลดเวลาได้อย่างดี แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตเพิ่มเติมว่า AI สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้มากกว่าในกระบวนการสร้างสรรค์หรือไม่
Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft มองว่าท้ายที่สุดแล้ว AI มีโอกาสที่จะสามารถเข้ามาเป็น ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’ ให้กับมนุษย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ “มันจะเห็นอีเมลล่าสุดของคุณ รู้เวลาในการเข้าประชุม อ่านในสิ่งที่คุณไม่ต้องการแทนอีกด้วย”
“สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงงานของคุณ และปลดปล่อยคุณจากงานที่ไม่ต้องการ AI จะช่วยคุณจัดการตารางเวลา ช่วยในการสื่อสาร และดำเนินธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินการผ่านอุปกรณ์ของคุณเอง” Bill Gates กล่าว
การพึ่งพา AI ในปัจจุบัน (รวมไปถึงในอนาคต) นั้นสร้างประโยชน์ให้ผู้ใช้งานอย่างมาก และถึงแม้ความสามารถของมันจะยังคงไม่สมบูรณ์แบบมากนักและยังจำเป็นต้องใช้มนุษย์ในการปรับแต่งชิ้นงานอยู่ แต่การนำ AI มาใช้ในตัวอย่างข้างต้นก็ช่วยให้ชิ้นงานมีจุดบกพร่องที่น้อยลง และเพิ่มประสิทธิภาพได้จริงนั่นเอง
เขียนโดย: ชนัญชิดา พลอยพลาย