Empathy (n.) = ความเข้าอกเข้าใจ
‘ความเข้าอกเข้าใจ’ คือความรู้สึกพื้นฐานที่ใครๆ ก็ต้องการจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะจากหัวหน้าที่เราทำงานด้วย
ถึงแม้ว่า การมีความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน จะเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานร่วมกัน แต่เรากลับพบเห็นปัญหาความไม่ลงรอยระหว่างหัวหน้าและลูกทีมอยู่บ่อยครั้ง อย่างกรณี ‘อย่าหัดให้พ่อแม่เป็นคนอ่อนแอ’ ที่เคยไวรัลอยู่บนโลกออนไลน์ หรือกรณีที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ (Twitter) รายหนึ่งได้แชร์ประสบการณ์การลาป่วยของตัวเอง เนื่องจาก ติดเชื้อโควิด-19 แต่หัวหน้ากลับแสดงความไม่พอใจ และโทษว่า เป็นความผิดของเธอที่ไม่ยอมดูแลตัวเองให้ดี
ซึ่งประเด็นความไม่ลงรอยเหล่านี้ ทำให้เกิดการพูดคุยบนโลกออนไลน์ว่า การเป็นหัวหน้าเผด็จการ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่มีความเข้าอกเข้าใจลูกทีม ยังเหมาะสมกับการทำงานในปัจจุบันจริงๆ เหรอ?
และในขณะที่ผู้คนกำลังพูดถึงการมีความเข้าอกเข้าใจในการทำงาน ก็มีอีกหนึ่งกระแสความฮอตฮิตที่เข้ามาไล่เลี่ยกัน นั่นคือการมาของ ‘Extraordinary Attorney Woo’ ซีรีส์สัญชาติเกาหลีใต้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอกที่ชื่อ ‘อูยองอู’ ทนายความที่มีความสามารถในการว่าความอย่างชาญฉลาด แต่เธอกลับมีอาการป่วยเป็นออทิสติกสเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder) มาตั้งแต่เด็ก
นอกจากพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ ความอบอุ่นของซีรีส์ และการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละคร จะทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงบนโลกออนไลน์อย่างเป็นวงกว้าง จนกลายเป็นซีรีส์ในดวงใจของใครหลายๆ คนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีการพูดถึงไม่แพ้กัน ก็คือแคแรกเตอร์ของ ‘จองมยองซอก’ ทนายความรุ่นพี่ที่เป็นทั้งเมนเทอร์และหัวหน้าของอูยองอู
ความเป็นหัวหน้าของจองมยองซอกที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านซีรีส์ ทำให้ผู้คนต่างแสดงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือหัวหน้าในฝันที่อยากให้มีในที่ทำงานจริงๆ ถ้ามีโอกาสได้ทำงานด้วย ชีวิตการทำงานคงมีความสุขมากแน่ๆ”
แล้วการเป็นหัวหน้าแบบ ‘จองมยองซอก’ ที่ใครๆ ก็บอกว่า ‘ดี’ นั้นเป็นอย่างไร?
เราจะพาทุกคนไปถอดบทเรียนการเป็นหัวหน้าที่มีความเข้าอกเข้าใจลูกทีมผ่านตัวละครนี้กัน (แบบไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของซีรีส์)
1. ปรับตัวเข้าหาลูกทีม ไม่ยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
ด้วยความที่จองมยองซอกเป็นทนายความอาวุโสที่มีประสบการณ์การทำงานมาถึง 14 ปี ทำให้เขาได้รับหน้าที่ในการดูแลทนายความมือใหม่ที่เพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนกฎหมายมาได้ไม่นาน ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ ‘อูยองอู’ ตัวเอกของเรื่องนั่นเอง
ถึงแม้ว่า ช่วงแรกเขาจะไม่เข้าใจในพฤติกรรมการแสดงออกของอูยองอู รวมถึงไม่เชื่อว่า อูยองอูจะสามารถว่าความให้ลูกความได้ เพราะอาการป่วยเป็นออทิสติกของเธอ แต่เมื่ออูยองอูพิสูจน์ว่า เธอสามารถเป็นทนายความที่ดีได้ อีกทั้งยังมองรูปคดีได้เฉียบขาดกว่าเขา เขาก็กล่าวขอโทษเธออย่างจริงใจ และสอนการทำงานให้เธออย่างใจเย็นในแบบที่เหมาะกับการเรียนรู้ของเธอ
2. ใส่ใจ เคารพความเห็นของลูกทีม และเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
อย่างที่กล่าวไปในข้อแรกว่า อูยองอูมีความสามารถในการมองรูปคดีได้เฉียบขาด เนื่องจากความสามารถในการจดจำของเธอ ทำให้เธอมีวิธีการว่าความที่สร้างสรรค์และแปลกใหม่ ซึ่งจองมยองซอกก็เปิดรับความเห็นของเธออยู่เสมอ โดยที่ไม่ได้มองว่า ความเห็นของเธอเป็นความเห็นที่ไม่มีทางเป็นไปได้
และในทางกลับกัน จองมยองซอกก็เป็นหัวหน้ามือใหม่ที่ต้องดูแลทนายความที่เพิ่งลงสนามถึง 3 คน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางทีหน้าที่ของการเป็นหัวหน้าก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาเช่นกัน แต่เมื่อเขารู้ว่า ตัวเองยังขาดตกบกพร่องตรงไหน เขาก็ไม่รอช้าที่จะขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าทันที
3. ให้คำแนะนำ ไม่จับมือทำ เน้นให้ลูกทีมโตด้วยตัวเอง
“ถ้าท่านให้ปลาใครหนึ่งตัว เขามีกินแค่หนึ่งวัน แต่ถ้าสอนเขาจับปลา เขาจะมีกินตลอดชีวิต” สุภาษิตจีนสุดคลาสสิกที่พูดถึงวิธีการสอนให้คนมีความรู้อย่างยั่งยืน
สิ่งที่จองมยองซอกทำในการสอนงานให้กับลูกทีม เปรียบได้กับการสอนให้จับปลา กล่าวคือหลังจากที่เขาได้มอบหมายคดีให้กับลูกทีมคนใดคนหนึ่งไปแล้ว เขาจะทำหน้าที่ดูแลอยู่ห่างๆ ไม่ออกคำสั่งตามที่เขาคิด แต่จะคอยให้คำแนะนำเท่าที่จำเป็น ทุกการตัดสินใจจะขึ้นกับตัวของลูกทีมเอง นอกจากจะทำให้ลูกทีมรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำสำเร็จแล้ว ยังช่วยให้ลูกทีมได้สั่งสมประสบการณ์จากการเรียนรู้ของตัวเองอีกด้วย
หากจะกล่าวว่า ความเข้าอกเข้าใจเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นหัวหน้าก็คงไม่ผิดนัก เพราะหน้าที่ของหัวหน้า นอกจากที่จะต้องดูแลการทำงานของทีมแล้ว ยังต้องเข้าใจการทำงานและข้อจำกัดของลูกทีมแต่ละคนด้วย เพื่อรักษาลูกทีมมากความสามารถให้อยู่กับตัวเองไปนานๆ
นอกจากคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าที่มีความเข้าอกเข้าใจลูกทีมทั้งสามข้อที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ในความคิดของทุกคนยังมีอะไรอีกบ้าง?
Sources: https://bit.ly/3uXNt5I
https://bit.ly/3zq1ls5
https://bit.ly/3Ocn9eI