‘วันเด็ก’ ทุกปีเห็นมีแต่คนคิดคำขวัญ อยากให้เด็กเป็นอย่างนั้น – อย่างนี้ แต่ผู้ใหญ่คนคิดคำขวัญ จะมีสักกี่คนที่รู้จักและเข้าใจเด็กเป็นอย่างดี ยิ่งในยุคที่เด็กสมัยนี้ ไม่ได้เติบโตมาภายใต้เงื่อนไข หรือสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกับผู้ใหญ่เหล่านั้น
หากพูดถึงเด็กในปี 2023 กลุ่มที่น่าจับตามากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘เจเนอเรชั่น อัลฟ่า’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘Gen Alpha’ ซึ่งเกิดระหว่างปี 2010 – 2024 หรืออายุมากที่สุดตอนนี้ไม่เกิน 13 ขวบ
Gen Alpha เป็นเด็กรุ่นแรกที่ทุกคนเกิดในศตวรรษที่ 21 ด้วยความเป็นคนรุ่นแรกของศตวรรษใหม่เต็มตัว พวกเขาจึงได้ชื่อว่า ‘อัลฟ่า’ ซึ่งเป็นอักษรตัวแรกในภาษากรีก หลังจากศตวรรษที่ 20 จบลงด้วยคนรุ่นสุดท้ายที่เรียกว่า ‘Gen Z’ ตามอักษรตัวสุดท้ายในภาษาอังกฤษ
มีการประเมินว่า ในปี 2024 ทั่วโลกจะมีเด็ก Gen Alpha ประมาณ 2,000 ล้านคน และในอีก 8 – 10 ปีข้างหน้า เด็กรุ่นนี้จะเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดแรงงาน อาจถึงขั้นปฏิวัติโลกการทำงานให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เลี้ยงดูดี มีเทคโนโลยีช่วยหนุน
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Gen Alpha แตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้า คือ การเลี้ยงดูและการเข้าถึงเทคโนโลยีตั้งแต่วัยเยาว์
Gen Alpha ส่วนใหญ่มีพ่อแม่เป็นคนรุ่น ‘มิลเลนเนียล’ ซึ่งเกิดในปี 1981 – 1996 ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยียุคใหม่ทั้งสมาร์ทโฟน และโซเชียลมีเดีย ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทันสมัยอยู่เสมอ และสามารถเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก Gen Alpha ได้อย่างเหมาะสม
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเป็นตัวเร่งให้เด็ก Gen Alpha เข้าถึงเทคโนโลยียุคใหม่อย่างโซเชียลมีเดีย และอินเทอร์เน็ตเร็วกว่าคนรุ่นอื่น ผ่านการเรียนออนไลน์ โดยมีผู้ปกครองที่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีคอยให้การสนับสนุนอีกแรง
ด้วยสภาพแวดล้อมดังกล่าว ทำให้ Gen Alpha เติบโตมากับเทคโนโลยี และเชื่อมโยงกับโลกไร้พรมแดนตั้งแต่เล็ก สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะรับเอาความเชื่อตามหลักการสากลมาปฏิบัติ และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ตลอดจนใส่ใจปัญหาต่างๆ ในสังคม
ด้วยอิทธิพลที่ส่งต่อมาจากพ่อแม่วัย ‘มิลเลนเนียล’ ทำให้เด็ก Gen Alpha จะให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ความแตกต่างหลากหลาย และความยุติธรรมในสังคม
เมื่อถึงวัยแรงงาน พวกเขาจะเลือกทำงานในบริษัทที่ตอบโจทย์ความต้องการในการทำเพื่อโลกและสังคม รวมถึงการเลือกองค์กรที่ให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน เนื่องจากคุ้นเคยกับบรรยากาศทำงานที่บ้าน หรือ work from home มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ในยุคโควิด-19
การศึกษาสูง เรียนรู้ไว
ด้านการศึกษา Gen Alpha จะเป็นเด็กรุ่นที่ได้รับการศึกษาดีที่สุด แต่คำว่า ‘การศึกษา’ ของพวกเขา ไม่ได้หมายถึงใบปริญญา ทว่า เป็น ‘ประสบการณ์’ และ ‘ทักษะ’ ที่เรียนรู้มาจากการฝึกฝนและทำงานจริง
Gen Alpha นอกจากจะเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีตัวช่วยชั้นดีเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แล้ว พวกเขายังมีโอกาสเข้าเรียนและทดลองทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจตั้งแต่วัยเด็ก เพราะมีคอร์สพิเศษเปิดสอนมากมายทั้งบนโลกออนไลน์ และคลาสจริง
นอกจากนี้ การติดต่อสัมพันธ์กับเพื่อนบนโลกเสมือนตั้งแต่เด็ก ยังทำให้เด็กรุ่นนี้เชื่อในการแบ่งปันความรู้ และนิยมการทำงานแบบประสานความร่วมมือกันกับหลายฝ่าย
ชีวิตที่พึ่งพาเทคโนโลยีของ Gen Alpha จะส่งผลดีต่อการคิดค้นนวัตกรรมการทำงานใหม่ๆ เพื่อท้าทายวัฒนธรรมแบบเก่า ซึ่งปล่อยให้รุ่นพ่อแม่ของเขา (มิลเลนเนียล) มีสถานะทางการเงินแย่กว่ารุ่นปู่ย่าตายาย (เบบี้ บูมเมอร์)
เทคโนโลยีสำหรับ Gen Alpha ไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ช่วยสนองความต้องการในการทำงานกับเพื่อนๆ แต่ยังเป็นช่องทางในการเปลี่ยนแปลงโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขาด้วย
ปฏิวัติการทำงานสู่ยุคใหม่
การพยายามใช้เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงานแบบเก่าของเด็กรุ่นนี้ อาจทำให้เกิดช่องว่างทางดิจิทัลกับคนรุ่นเก่า เพราะการเติบโตมากับเทคโนโลยี ทำให้ Gen Alpha ต้องการความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่านการส่งข้อความด้วยเสียงหรือตัวหนังสือ มากกว่าการพบหน้าพูดจากัน
การเรียนรู้เรื่อง AI และเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก จะทำให้พวกเขาเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่มากกว่าคนรุ่นก่อนหน้า ทักษะและความรู้ของเด็กรุ่นนี้จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้แตกต่างไปจากเดิม และจะบังคับให้คนรุ่นอื่นที่แก่กว่า ต้องกลายเป็นผู้เดินตามหลัง
ดังนั้น การจะอยู่ร่วมกับ Gen Alpha ได้อย่างผาสุกในอนาคต คนรุ่นเก่าอาจต้องเปิดใจเรียนรู้จากพวกเขา และยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
และทุกครั้งที่ถึง ‘วันเด็ก’ แทนที่จะคิดคำขวัญให้พวกเขาเดินตาม ผู้ใหญ่ยุคนี้อาจต้องทำการบ้านและทำความรู้จักกับเด็ก Gen Alpha ให้มากขึ้น เพราะคนที่จะต้องเดินตามในอนาคต อาจเป็นคนที่คิดคำขวัญขึ้นมาในวันนี้นั่นเอง
เขียนโดย Phanuwat Auaudomchaisakun
Source: https://bit.ly/3w30s61